การแข่งขันคลับเวิลด์คัพถึงครึ่งทาง ท่ามกลางความร้อนจัด สนามไม่ค่อยดี และการแข่งขันที่เต็มไปด้วยประตู เป็นปรากฏการณ์ที่ดึงดูดความสนใจ เซอร์ไพรส์และความตื่นเต้นของแฟนฟุตบอลทั่วโลก

    การแข่งขัน Club World Cup ที่สหรัฐอเมริกาในปีนี้ได้เข้าสู่ครึ่งทางของรายการ โดยมีการขยายทีมจากเดิม 7 ทีมเป็น 32 ทีม แม้ว่าการแข่งขันนี้จะถูกวิจารณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยและสุขภาพของนักเตะ ในเรื่องของอุณหภูมิที่สูงจนถึง 36 องศาเซลเซียส และผู้ชมในสนามที่ไม่ค่อยหนาแน่นนัก นักวิจารณ์มองว่าการแข่งขันนี้มีขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ฟีฟ่า ขณะที่องค์กรผู้ควบคุมฟุตบอลโลกเห็นว่าจำเป็นต้องมีการแข่งขันดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ World Cup ที่จะมี 48 ทีมและจัดขึ้นที่แคนาดา สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโกในปีถัดไป

    การแข่งขันในปีนี้เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การถล่มคู่แข่งอย่างมหาศาล เช่น การที่บาเยิร์น มิวนิคชนะทีมจากนิวซีแลนด์ Auckland City ไป 10-0 ไปจนถึงการแข่งขันที่สูสีกับสกอร์ 4-4 และ 4-3 สิ่งที่น่าสังเกตคือปริมาณการแข่งขันที่นักเตะต้องเผชิญ ตัวอย่างเช่น เรอัล มาดริดลงเล่นไปแล้ว 65 นัดตั้งแต่ฤดูกาลยุโรปเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการฝึกฝนและคุณภาพการเล่นอย่างมาก

    ปัญหาที่เคียงข้างกับอากาศที่ร้อนจัดคือภัยธรรมชาติ เช่น พายุฝนฟ้าคะนองที่ทำให้ต้องหยุดการแข่งขันชั่วคราว ส่วนหนึ่งของปัญหานี้คือสนามที่คุณภาพไม่ดี ทำให้ลูกบอลเด้งไปมาเหมือนกระต่ายตามที่ผู้จัดการทีม PSG, หลุยส์ เอนริเก้ กล่าว นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการเข้าชมการแข่งขัน มีเพียงไม่กี่นัดที่มีผู้ชมเกิน 40,000 คน ขณะที่หลายนัดมีจำนวนผู้ชมต่ำกว่า 10,000 คน

    ในการแข่งขันครั้งนี้ ทีมจากยุโรป 11 ทีมถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นผู้ชนะ แต่ถึงกระนั้น ก็มีสามทีมที่ต้องตกรอบไปแล้ว ได้แก่ ปอร์โต้, แอตเลติโก มาดริด และ เรดบลูซ ซัลส์บวร์ก ในขณะที่ทีมจากอเมริกาใต้ที่ยังอยู่ในเกมคือทั้งหมดจากบราซิล ขณะที่ทีมจากแอฟริกาทั้งหมดต้องหยุดเพียงรอบกลุ่ม

    ในการแข่งขันเพื่อคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ มีผู้นำ 5 คนที่ทำได้คนละ 3 ประตู ซึ่งรวมถึงไมเคิล โอลิเซ และจามาล มูเซียลา จากบาเยิร์น มิวนิค, อังเฆล ดิ มาเรีย จากเบนฟิกา, เคนัน ยิลดิซ จากยูเวนตุส และ เวสซาม อาบู อาลี จากอัล อาห์ลี ที่แม้ทีมของเขาจะตกรอบไปแล้วก็ตาม