ตระกูลเกลเซอร์สร้างหนี้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 1.2 พันล้านปอนด์ผ่านการกู้ยืมและการจ่ายดอกเบี้ย ทำให้สโมสรต้องแบกรับภาระการเงินหนักและส่งผลต่อการพัฒนาในสนามและการลงทุนระยะยาว

    ครอบครัวเกลเซอร์ได้เข้ามาซื้อกิจการสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2005 การเข้าควบคุมนี้ทำให้สโมสรมีหนี้เพิ่มขึ้น จากการวิจัยของ BBC Verify พบว่ามูลค่าที่ใช้ไปกับดอกเบี้ยหนี้, การชำระหนี้, การจ่ายเงินปันผล และค่าธรรมเนียมต่างๆ ไปยังครอบครัวเกลเซอร์มีมูลค่าถึงประมาณ £1.2 พันล้าน ในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ครอบครัวเกลเซอร์ได้กู้เงินหลายล้านปอนด์มาจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทำให้สโมสรมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น £604 ล้าน ภายใน 1 ปี สโมสรได้ชำระดอกเบี้ยหนี้ไปแล้วถึง £53.2 ล้าน

    20 ปีต่อมา การเข้าครอบครองจากครอบครัวเกลเซอร์ยังคงเป็นเรื่องขัดแย้ง เนื่องจากผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้น ซึ่งในวันที่ 22 มิถุนายน 2005 ครอบครัวเกลเซอร์ได้จ่ายเงิน £790 ล้าน เพื่อซื้อหุ้นของสโมสรจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้เงินกู้ยืมในการซื้อ และทำให้สโมสรต้องแบกรับหนี้สิน

    BBC Verify คำนวณจากบัญชีของสโมสรและการประกาศต่างๆ พบว่าตั้งแต่ปี 2005 สโมสรมียอดชำระหนี้รวม £815 ล้าน, การจ่ายเงินปันผล £166 ล้าน, ค่าบริหารและจัดการให้กับบริษัทของครอบครัวเกลเซอร์ £10 ล้าน และการจ่ายหนี้ภายนอกจำนวน £197 ล้าน ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งหมดที่ออกจากสโมสร £1.187 พันล้าน

    แม้ว่าครอบครัวเกลเซอร์จะเพิ่มมูลค่าให้กับสโมสรโดยเพิ่มรายได้พาณิชย์มากกว่า 5 เท่า และมูลค่าตลาดของสโมสรเพิ่มขึ้นจาก £790 ล้านในปี 2005 ไปเป็น £3.2 พันล้านในปี 2025 แต่สโมสรยังคงมีหนี้สูงที่ประมาณ £547 ล้าน

    ในปี 2024, ครอบครัวเกลเซอร์ได้ขายหุ้นมูลค่า £732 ล้านให้กับจิม แรทคลิฟฟ์ ทำให้เขามีสัดส่วนการถือหุ้น 30% และควบคุมการดำเนินการฟุตบอล นอกจากนี้ แรทคลิฟฟ์ได้เพิ่มเงินลงทุนเข้าไปอีก £236 ล้านเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสเตเดียมโอลด์แทรฟฟอร์ด

    ในระยะเวลาการถือครองของเกลเซอร์ สโมสรมีการใช้เงินกว่า £2 พันล้านในซื้อผู้เล่นใหม่และได้รับถ้วยรางวัลสำคัญ 15 ถ้วย แต่ก็มีถ้วยทองแค่ 5 ใบที่มาในช่วงหลังการเกษียณของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในปี 2013