เปแอสเชโชว์ฟอร์มใหม่ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ คว้าชัยประวัติศาสตร์ สร้างความทรงจำอันตราตรึงในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และแสดงถึงยุคใหม่ของสโมสร ที่ทีมนําไปสู่ความสำเร็จและขยายฐานแฟนคลับทั่วโลก

    ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (PSG) ภายใต้การนำของโค้ช หลุยส์ เอ็นริเก้ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยชัยชนะเหนืออินเตอร์ มิลาน 5-0 ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกของทีมที่เมืองมิวนิก นับเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความยินดีและอารมณ์เอ่อล้นทั้งสำหรับโค้ชและแฟนบอล ด้วยชัยชนะนี้ทำให้เอ็นริเก้กลายเป็นโค้ชคนที่หกที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปกับสองสโมสรแตกต่างกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ในปี 2015

    การแสดงออกทางฝีมือที่ยอดเยี่ยมของทีม PSG ในครั้งนี้เกิดจากนักเตะวัยรุ่นที่เก่งกาจอย่างเดซีเร ดู ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในดาวรุ่งแห่งยุคคู่กับลาเม็ง ยามาลจากบาร์เซโลนา ในเกมดังกล่าว ดูได้ทำทั้งแอสซิสต์และยิงประตูสองลูก ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะวัยรุ่นคนที่สามที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีก

    นอกจากนี้ ชัยชนะยังมีความหมายซ่อนเร้นสำหรับเอ็นริเก้ ผู้ซึ่งเคยเสียลูกสาวไปในปี 2019 จากโรคมะเร็งกระดูก ซึ่งเขาได้สวมเสื้อที่มีภาพของตนเองกับลูกสาวหลังจากทีมคว้าแชมป์ และทางแฟนบอล PSG ได้แสดงการสนับสนุนโดยเปิดป้ายผ้าเป็นเกียรติให้กับลูกสาวของเขา

    ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคว้าแชมป์ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคของ PSG ภายหลังจากยุค "bling bling" ของนักเตะชื่อดังอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป, เนย์มาร์, และลิโอเนล เมสซี การปรับแผนใหม่ได้นำพาพวกเขาผ่านด่านของลีกที่แข็งแกร่งในอังกฤษ เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, และอาร์เซนอล มาได้จนถึงความสำเร็จที่มิวนิก

    เกมนี้แสดงให้เห็นถึงความหนุ่มและรวดเร็วของ PSG ที่ทีมอินเตอร์ มิลานซึ่งมีนักเตะอายุมากกว่าไม่สามารถต้านทานได้ ความเหนือชั้นของ PSG สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้ชม ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการเล่นฟุตบอลในยุโรป

    ท้ายที่สุด นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี ประธานสโมสรย้ำว่าชัยชนะนี้แสดงถึงอนาคตที่ดีสำหรับวงการฟุตบอลฝรั่งเศส โดยการปรับทีมสู่ยุคใหม่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยเน้นถึงทีมที่ยังมีพัฒนาได้อีกไกล และให้ความสำคัญกับความอ่อนน้อมถ่อมตนและความสำเร็จที่อยู่ในมือของพวกเขาในอนาคต